คอลัมน์ : เปิดตัวทีมชาติ 2564
“เน็ต” พลภูมิ โควาพิทักษ์เทศกับเป้าหมายชีวิตนักเทนนิส
“ผมอยากเป็นคนแรกที่ทุกคนนึกถึง”
ก่อนที่ “เน็ต” พลภูมิ โควาพิทักษ์เทศ นักเทนนิสหนุ่มจากจังหวัดฉะเชิงเทรา วัย 21 ปี จะก้าวมาติด “ทีมชาติไทยชุดใหญ่” ประจำปี 2564 ของสมาคมกีฬาลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ได้มีดีแค่ฝีมือในการเล่นเทนนิส แต่ยังมีความคิดและจิตใจที่แข็งแกร่งมากพอ จนสามารถฝ่าด่านความกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ แล้วปลดล็อคพาตัวเองก้าวไปสู่ชัยชนะได้สำเร็จ หลังจากตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง
แมทช์ที่สะท้อนให้เห็นเรื่องดังกล่าว เป็นการพบกันระหว่าง พลภูมิ กับ “ก็อต” กฤติน โกยกุล ในการแข่งขันคัดเลือกนักเทนนิสทีมชาติไทยชุดใหญ่ของปีนี้ ซึ่งเป็นแมทช์ชี้ชะตาของทั้งคู่ ในการได้สิทธิ์สวมเสื้อติด “ธงไตรรงค์” บนยอดอก โดย กฤติน ต้องชนะแบบไม่เสียเซต ในขณะที่ พลภูมิ ต้องการชัยชนะเพียงเซตเดียว
“วันนั้น ผมมีความกดดันมากถึงมากที่สุด การที่ผมต้องการแค่เซตเดียว ทำให้มีหลายเรื่องในหัวเกิดขึ้น พี่ก็อตก็ตีได้ดีมาก เขาได้เซตแรกไป พอเข้าเซตสอง ผมโดนเบรกก่อน ยิ่งเครียดยิ่งกดดันเข้าไปอีก สุดท้ายสู้กันถึงไทเบรก ผมเอาชนะได้ สิ่งที่ทำให้ผมผ่านมาได้เพราะเชื่อมั่นในตัวเอง พยายามคิดว่าเดี๋ยวมันก็ได้ ต้องไม่หลุด ไม่โมโห ไม่กังวล และโฟกัสอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น เดี๋ยวก็ทำได้” พลภูมิ ย้อนเหตุการณ์ให้ฟัง พร้อมยกให้แมทช์นี้เป็นแมทช์ที่ตัวเองประทับใจมากที่สุดด้วย
อีกแมทช์ที่มีส่วนสำคัญทำให้ พลภูมิ มีความแข็งแกร่งขึ้นคือ การได้แข่งขันกับ เรนโซ่ โอลิโว จากอาร์เจนติน่า ซึ่งตอนนั้นเป็นมือท็อป 100 ของโลก ในขณะที่ พลภูมิ รั้งมืออันดับ 1,000 กว่าของโลก ในการแข่งขันเทนนิสอาชีพ เอทีพี ชาเลนเจอร์ ทัวร์ รายการ “แบงค็อก โอเพ่น 2020” ชิงเงินรางวัลรวม 54,160 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.6 ล้านบาท
“นี่ก็เป็นอีกแมทช์ที่ผมประทับใจมากที่สุดครับ ผมลงแข่งชายเดี่ยว รอบสอง วันนั้นผมแพ้ด้วยนะ แพ้ เรนโซ่ โอลิโว ด้วยไทเบรกทั้งสองเซตเลย เซตแรก 6-7 ไทเบรก 3-7 และเซตสอง 6-7 ไทเบรก 4-7 การที่ตีกับท็อป 100 ของโลกได้ขนาดนั้น ผมก็ดีใจแล้วครับ ถึงจะแพ้แต่ก็ทำให้ผมคิดได้ว่า ผมสามารถสู้กับอันดับสูงๆ ได้” นักหวดหนุ่มจากเมืองแปดริ้ว กล่าว
การที่ “เน็ต” ก้าวมาถึงจุดนี้ได้นั้น แน่นอนว่าเป็นเพราะแรงส่งเสริมและสนับสนุนจากครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งประกอบไปด้วย คุณพ่อศักดิ์ชัย หรือ “พ่อนิ่ม” กับคุณแม่อักษรสวรรค์ หรือ “แม่ชมพู่” และน้องสาวสุดที่รักของเขาคือ “น้องแน็ต” พัณณิน โควาพิทักษ์เทศ ซึ่งเป็นนักเทนนิสเช่นกัน มีผลงานมากมายและเคยติดทีมชาติมาแล้ว โดย “เน็ต” เริ่มเล่นเทนนิสตอนอายุ 6 ขวบ มี “พ่อนิ่ม” เป็นโค้ชคนแรก มี “ทศ พึ่งรัศมี” เป็นโค้ชปัจจุบัน มี “อาลี ฮาบิบ ฮาร์บ” ชาวอังกฤษ เป็นนักกายภาพและเทรนเนอร์ และตอนนี้ “เน็ต” กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี คณะรัฐศาสตร์ ปี 3
“ผมมีวันนี้ได้ ต้องบอกว่าเกิน 100 เปอร์เซนต์มาจากการสนับสนุนของพ่อกับแม่ที่อยากให้ผมเล่นเทนนิสเป็นอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นทุนในการออกแข่งขันและการจ้างโค้ช การอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง เพื่อให้ผมโฟกัสอยู่ที่เทนนิสเพียงอย่างเดียว ผมขอกราบขอบพระคุณพ่อกับแม่ ถ้าไม่มีพ่อแม่ ผมคงมาไม่ถึงขนาดนี้
สำหรับน้องสาวก็สำคัญมากเช่นกัน ในวันที่ผมรู้สึกท้อแท้และผิดหวัง น้องแน็ตคอยให้กำลังใจผมเสมอ มันทำให้ผมรับรู้ได้ว่าน้องสาวมองผมอยู่ตลอด เป็นแรงกระตุ้นให้ผมต้องรีบกลับมาเข้มแข็ง เลิกอ่อนแอและท้อแท้ เพราะผมไม่อยากให้น้องสาวต้องเห็นภาพแย่ๆ แบบนั้น
อีกคนที่ผมรู้สึกขอบคุณมากคือ พี่ต้น (สนฉัตร รติวัฒน์ นักเทนนิสทีมชาติหลายสมัย และนักเทนนิสอาชีพระดับโลก) ที่เข้ามาช่วยดูแลผมในช่วงปีที่แล้ว ทำให้ผมพีคมาก คอยแนะนำเรื่องต่างๆ ต้องขอบคุณคุณพ่อด้วยที่เลือกโค้ชมาให้ พี่ต้นเป็นตัวอย่างที่ดีให้เราดู เป็นนักกีฬาที่ดีทั้งในและนอกสนาม พี่ต้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมมีสถิติชนะเยอะที่สุด รวมทุกรายการในประเทศ ชนะถึง 40 แพ้ 5 ในปี 2020 และต้องขอบคุณ อาลี่ เทรนเนอร์ที่มีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ผมแข็งแรงและแข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ผมขอขอบคุณสมาคมกีฬาลอนเทนนิสฯ ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ขอบคุณครับ” พลภูมิ เล่าถึงความสำคัญของทุกคน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขามีกำลังใจต่อสู้จนก้าวมาติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ได้สำเร็จ
“ผมภูมิใจมากครับที่จะได้เล่นในนามทีมชาติไทย ซึ่งมีไม่กี่คนที่จะได้เล่น ก่อนหน้านี้ผมเคยติดทีมชาติมาแล้ว 6 ครั้ง ทั้งในชุดเดวิสคัพ เอเชี่ยนเกมส์ และเอเชี่ยนอินดอร์เกมส์ สำหรับครั้งนี้เป็นศึกซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเวียดนาม ถ้ามีโอกาส ผมอยากได้เหรียญทองครับ ผมจะตั้งใจฝึกซ้อม เพราะอยากเป็นตัวเลือกแรกที่ทุกคนนึกถึง ซึ่งเป็นเป้าหมายในการเล่นเทนนิสของผมด้วย เวลามีแข่งรายการอะไร ผมอยากให้นึกถึงชื่อ พลภูมิ เป็นคนแรกครับ ผมจะพยายามทำให้ได้ครับ” นักหวดหนุ่มเผยถึงความรู้สึกและการวางเป้าหมายในชีวิตนักเทนนิสของตัวเอง
ในส่วนผลงานนั้น พลภูมิ ได้แชมป์มาแล้วหลายรายการ อาทิ แชมป์ประเภทชายเดี่ยว เทนนิสอาชีพ สิงห์ ทีเอทีพีทัวร์ รอบมาสเตอร์ส รายการ สิงห์ไทยแลนด์มาสเตอร์ส 2019, แชมป์ประเภทชายเดี่ยว เทนนิสอาชีพ รายการ “หัวหิน โอเพ่น 2020” (สนามแรก), แชมป์ประเภทชายเดี่ยว รายการ “สิงห์คลาสสิค 2020”, แชมป์ประเภทชายคู่ (จับคู่กับ ปรัชญา อิสโร) รายการ “สิงห์ ทีเอทีพี แชมเปี้ยนชิพ 2020” และแชมป์ประเภทชายเดี่ยว รายการ “เรดดี้ เอสเอที โก เทนนิส อินวิเทชั่น” เป็นต้น
อ่านมาถึงบรรทัดนี้ คงคิดว่าเส้นทางการเล่นกีฬาเทนนิสของ พลภูมิ นั้น ช่างเป็นถนนที่สวยงาม และโรยไปด้วยกลีบกุหลาบตลอดระยะทาง แต่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่แบบนั้น เพราะ พลภูมิ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับนักเทนนิสอีกหลายคน เขาเคยเจอกับความรู้สึกที่แย่มากๆ และตกอยู่ในสถานการณ์ที่คิดจะแขวนแร็กเก็ตมาแล้ว
“ผมเคยผิดหวัง อยากเลิกเล่น ตอนนั้นเดินทางไปแข่งขันที่แอฟริกาคนเดียว สัปดาห์แรกแพ้ทั้งเดี่ยวและคู่ตั้งแต่รอบแรก สัปดาห์ที่สองก็แพ้อีก ทุกอย่างไม่เป็นดั่งใจ เล่นไม่ดี เจอไป 10 ดิวซ์ ทำไม่ได้สักเกม ตีไม่สำเร็จ ผิดหวังมากครับ ผมร้องไห้เพราะเครียดมาก แต่ด้วยกำลังใจจากครอบครัว คอยดูแลอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมคิดได้ว่า ความพ่ายแพ้ มันไม่ใช่จุดจบของชีวิตการเล่นเทนนิสสักหน่อย ผมพยายามคิดบวกให้มากๆ จนในที่สุดผมก็กลับมาได้”
การผ่านความรู้สึกแย่ๆ มาได้ ทำให้ พลภูมิ มีความแข็งแกร่งขึ้น และสะท้อนให้เห็นว่า ความรู้สึกแย่เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เขาเจ็บปวด การพยายามคิดบวก นึกถึงความสุข นึกถึงรอยยิ้ม และกำลังใจจากครอบครัวให้มากๆ จะช่วยทำให้ความรู้สึกแย่นั้นหายไป เพราะมันไม่ได้อยู่กับเขาหรือเราไปตลอดชีวิต
ขณะที่เรื่องเป้าหมายอันใกล้ของ พลภูมิ ซึ่งมีสไตล์การตีที่เหนียวแน่นท้ายคอร์ต แน่นอนว่าเป้าหมายอันดับแรกคือ “เหรียญทอง” จากการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ตามที่กล่าวไปแล้ว ส่วนเป้าหมายบนเส้นทางอาชีพ หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายและสามารถตระเวณแข่งขันไปยังประเทศต่างๆ ได้ปกติ เขาจะพยายามทำผลงานเพื่อขยับอันดับโลกให้เข้าไปอยู่ท็อป 500 ของโลกให้ได้
การได้พูดคุยกับ พลภูมิ นักหวดหนุ่มจากเมืองแปดริ้ว ที่ในตอนนี้มีหน้าที่เป็นนักเทนนิสทีมชาติไทยชุดใหญ่ ทำให้รับรู้และสัมผัสได้ว่า เขาเป็นนักเทนนิสที่น่าจับตาอีกคนของประเทศไทย หากไม่มีอะไรผิดจากแผนเป้าหมายที่เขาและครอบครัวร่วมกันขีดเขียนเอาไว้ เราในฐานะกองเชียร์ คงได้ชื่นใจกับความสำเร็จของนักหวดหนุ่มคนนี้ โดยเฉพาะ “เหรียญทองซีเกมส์” ในมหกรรมที่ใกล้จะถึง รวมทั้งเป้าหมายที่อยาก “เป็นคนแรก” ที่สมาคมกีฬาลอนเทนนิสฯ สตาฟฟ์โค้ช และกองเชียร์ นึกถึงเมื่อยามมีศึกให้ทำหน้าที่
สุดท้ายก่อนจาก “เน็ต” พลภูมิ โควาพิทักษ์เทศ ผู้มี “โนวัก ยอโควิช” นักเทนนิสอาชีพชาย ชาวเซอร์เบีย วัย 34 ปี มืออันดับ 1 ของโลกคนปัจจุบัน เป็นต้นแบบ ยังได้ทำหน้าที่ของรุ่นพี่ ส่งต่อข้อความดีๆ ไปยังนักหวดรุ่นน้องด้วยว่า
“ทุกคนมีโอกาสเท่ากัน ไม่ได้มีใครเก่งกว่ากัน เพราะเรามี 2 แขน 2 ขา เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาลงสนาม ต้องพยายามสู้อย่างเต็มที่ เก็บเกี่ยวประสบการณ์และพัฒนาฝีมืออยู่ตลอด เพราะเส้นทางของมืออาชีพไม่มีทางลัด ต้องทำงานหนักเท่านั้น ถึงจะทำให้คุณบรรลุเป้าหมาย”
#เทนนิส#สมาคมกีฬาลอนเทนนิส#Tennis#พลภูมิ#พลภูมิโควาพิทักษ์เทศ