ลูกไม้ใต้ต้น…กษิดิศ สำเร็จขอสานฝัน”พ่อ”สู่มือท็อปโลก

Written by LTAT Admin

ลูกไม้ใต้ต้น…กษิดิศ สำเร็จขอสานฝัน”พ่อ”สู่มือท็อปโลก

คอลัมน์ : เปิดตัวทีมชาติ 2564

ถ้าพูดถึง “วิทยา สำเร็จ” ในแวดวงกีฬาเทนนิสของเมืองไทยแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ด้วยดีกรีอดีตทีมชาติหลายสมัย ผ่านความสำเร็จในระดับประเทศ ระดับชาติ นานาชาติมาอย่างมากมาย ทั้งระดับซีเกมส์, เอเชียนเกมส์, เดวิสคัพ แม้วันนี้ วิทยา จะแขวนแร็กเกตผันตัวเองมาเป็นผู้ฝึกสอนเทนนิสทีมชาติ ผ่านการคุมทีมนักหวดไทยเข้าร่วมทำศึกเทนนิสในมหกรรรมนานาชาติมาครบแล้วในทุกระดับการแข่งขัน แต่ก็ยังได้ “ปั้น” ตัวตายตัวแทน ที่เป็น “สายเลือด” เพื่อสานฝันสู่การเป็นมือระดับท็อปของโลก กรุยทางสู่เวทีหวดในโอลิมปิกเกมส์
“บูม” กษิดิศ สำเร็จ ลูกชายวัย 20 ปี คือ “ลูกไม้ใต้ต้น” ที่พร้อมจะงอกเงย อย่างงดงาม และแผ่ขยายสร้างความยิ่งใหญ่ในฐานะนักเทนนิสอาชีพ และ ทีมชาติ ก้าวตามรอยเท้าไปสู่ความสำเร็จให้ได้ไกลเท่าที่จะไกลได้จากระยะที่ผู้เป็นพ่อสร้างไว้

ด้วยความที่มีพ่อ เป็นนักกีฬาเทนนิสทำให้ กษิดิศ เติบโตมาจากสนามเทนนิส ได้จับแร็กเกตตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ กระทั่งเข้าสู่วัยที่ต้องได้หัดเล่นเทนนิส โดยมีพ่อวิทยาเป็นโค้ชสอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เรียกได้ว่า กษิดิศ เกิดมาก็รู้จักเทนนิสแล้ว ในวัยเด็กยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบเทนนิส แต่ที่เล่นและลงแข่งเพราะมีพ่อสนับสนุนมีแม่ให้กำลังใจ มีพี่สาวลงแข่งขัน หลังเลิกเรียนก็อยู่สนามเทนนิสกับครอบครัวเกือบทุกวัน

“เมื่อก่อนจะบอกว่าชอบเทนนิสหรือไม่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นความชอบ หรือ ไม่ชอบ เพราะจำความได้ก็รู้จักกีฬาเทนนิสแล้ว ไปดูพ่อซ้อม ไปดูพ่อแข่ง และพ่อก็พาเข้ามาเล่นมาสอน พอเล่นได้ก็มีโอกาสลงแข่งขัน คือ ชีวิตบูมมีเทนนิสอยู่ในทุกๆช่วงของอายุก็ว่าได้” แต่ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ กษิดิศ มีความรู้สึกเบื่อหน่ายกับกีฬาเทนนิสจนถึงขั้น”หันหลัง” เลิกเล่นกีฬาชนิดนี้ไปเลย จากการบอกเล่าของ วิทยา ผู้เป็นพ่อว่า ในช่วงที่ลูกชายอายุประมาณ 8 ขวบเขามีความรู้สึกผิดหวังกับผลการแข่งขันเทนนิสที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจทำให้ไม่อยากเล่นเทนนิสต่อ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นในช่วงอายุ 6-7 ขวบ กษิดิศ เป็นคนที่ติดเล่นเทนนิสมากถึงขั้นที่ว่าพาออกจากสนามก็จะร้องไห้เลยทีเดียว

“ตอนนั้นผมก็เข้าใจลูกนะ เขาตั้งใจกับการแข่งขันมากเมื่อผิดหวังก็เลยทำให้รู้สึกไม่อยากเล่นอีกผมก็ปล่อย ไม่เล่นก็ไม่เล่น แต่ผมก็ยังพยายามพาเขามาที่สนาม พามาได้มาอยู่ในแวดวงของกีฬาเทนนิส ให้เขาได้ซึมซับกับบรรยากาศ คิดว่าให้เวลาเขาอีกสักพัก แล้วเขาคงจะกลับมา”
กษิดิศ ห่างหายจากการเล่นเทนนิส การฝึกซ้อม และ การแข่งขันไปนานถึง 4 ปี ก่อนที่จะกลับมาตัดสินใจจับแร็กเกต ลงสู่สนามฝึกซ้อมอย่างจริงจังอีกครั้ง

“ช่วงที่เลิกเล่นไปผมก็ยังได้เห็นเพื่อนๆพี่ๆซ้อมเทนนิส และได้เห็นบรรยากาศการแข่งขันตลอด เพราะผมจะตามพ่อกับแม่มาที่สนาม ช่วงเลิกเล่นใหม่ๆก็เฉยๆนะเห็นเทนนิสก็ไม่รู้สึกอะไร ที่สนามก็ได้ทักทายได้คุยกับคนนั้นคนนี้ ได้มาเจอเพื่อนก็ยังไม่คิดจะอยากเล่น แต่พอนานๆเข้ามีความรู้สึกว่า อยากเล่น เพื่อนๆรุ่นเดียวกันเขาชนะเขาประสบความสำเร็จ ติดทีมชาติ ผมก็รู้สึกอยากเล่น และคิดว่าตัวเองก็น่าจะทำได้ดี”
วิทยา เล่าว่า ในช่วงที่ลูกอยากกลับมาเล่นเทนนิสอีกครั้ง รู้สึกดีใจมาก เพราะบอกตามตรงผมเองก็โตมากับเทนนิส เราอยู่ตรงนี้ก็อยากที่จะให้ลูกได้สืบทอดเล่นกีฬาชนิดนี้เพราะเป็นอาชีพได้ เทนนิสสามารถสร้างอนาคตที่ดีให้ลูกได้

“ช่วงที่บูมเลิกเล่นเทนนิสผมยังเชื่อเสมอว่าลูกจะกลับมาเล่นเทนนิสต่อ ผมก็รอให้เขากลับมาเอง และถ้าเขามีความอยาก นั่นก็หมายความว่าเขาชอบเทนนิสจริงๆ เพราะสมัยที่ยังเป็นเด็กเล็กๆ บูม ชอบเทนนิสเทนนิสมากเขาสนุกที่จะได้เล่นได้อยู่ในสนามเทนนิส และเขามีทักษะ มีแวว มีพรสวรรค์ ซึ่งทำให้ผมเชื่อว่าเขาสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นนักเทนนิสอาชีพได้ ”
ช่วงแรกๆที่กลับมาเล่นเทนนิสหลังหายไปร่วม 4 ปี แน่นอนว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับมาแล้วประสบความสำเร็จเลย กษิดิศ ใช้เวลาเรียนรู้กับความพ่ายแพ้ เขาเป็นผู้แพ้มากกว่าที่จะคว้าชัยชนะ แต่ในครั้งนี้ เขากลับไม่รู้สึก”เบื่อ” ตรงกันข้ามกลับสนุกและเริ่มมีความกระหายอยากจะเป็น”ผู้ชนะขึ้นมามากกว่าเดิม

“สิ่งที่ผมเรียนรู้จากการหายไปหลายปีก็คือ ก่อนที่จะชนะเราต้องเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ก่อน และมุ่งมั่นพัฒนาฝีมือของตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ สักวันผมจะต้องชนะและคว้าแชมป์ได้ในที่สุด”
และการฝึกซ้อมที่หนัก การวางแผนที่ดีของพ่อที่เป็นโค้ชและดูแลทั้งด้านเทคนิค อาหารการกิน และการพยายามหาเทรนเนอร์มาดูแลด้านร่างกาย บวกกับความมุ่งมั่นความพยายาม ความตั้งใจเกินร้อยทำให้ กษิดิศ ประสบความสำเร็จในการแข่งขัน และ ก้าวสู่การเป็นนักกีฬาทีมชาติ

“ช่วงที่ยังเป็นเยาวชนผมยังไม่ได้เร่งให้ลูกต้องออกแข่งอาชีพเท่าไหร่ เพราะผมอยากให้ร่างกายเขาพร้อมจริงๆ คือ เน้นไปที่ส่วนสูงของเขาก่อน จากนั้นพออายุ 18 ปีขึ้นไปก็จะมาเน้นเรื่องกล้ามเนื้อให้ร่างกายมีความแข็งแรง ส่วนเรื่องเทคนิคต่างๆเราก็ทำกันมาอย่างต่อเนื่อง ผมจะเน้นให้เขาเรียนรู้จากเกมการแข่งขัน และให้เขาได้คิดแก้ปัญหา แก้สถานการณ์ในสนามแข่งขันเอง ผมบอกและแนะนำได้เฉพาะตอนอยู่นอกสนามเท่านั้น”
การวางแผนอย่างมีระบบ และรอคอยความสำเร็จด้วยความอดทน ที่สุดแล้วความฝันอยากเห็นลูกชายคนนี้ติดทีมชาติชุดใหญ่ก็บังเกิดขึ้น ในปี 2561 กิษิดิศ ก้าวสู่การเป็นนักเทนนิสทีมชาติชุดใหญ่ เพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่ประเทศอินโดนีเซีย
หลังประตูสู่ทีมชาติของ กษิดิศ เปิดกว้างแล้ว นักหวดหนุ่มสายเลือดนักเทนนิสผู้นี้ก็มีโอกาสได้ติดทีมชาติชุดใหญ่อีกครั้งในปี 2562 กับภารกิจร่วมทีมสู้ศึกชิงแชมป์โลก ประเภททีมชาย “เดวิสคัพ” และ ศึก ซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ประเทศฟิลิปปินส์

“ซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นนักกีฬาทีมชาติจริงๆ เพราะบรรยากาศการแข่งขัน การได้ลงแข่งท่ามกลางความกดดัน ทำให้ผมรู้สึกอยากที่จะชนะ อยากที่จะคว้าเหรียญรางวัล อยากทำให้คนไทยมีความสุข และอยากสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ”

“ถ้าจะบอกว่าผิดหวังหรือไม่กับซีเกมส์ครั้งนั้นที่ผมไปแพ้นักเทนนิสฟิลิปปินส์เจ้าภาพในรอบ 8 คนสุดท้ายแบบไม่จบแมตช์ เพราะผมเป็นตะคริวในเซตสาม บอกเลยครับว่า ผิดหวังมาก ผิดหวังกับตัวเอง เสียใจที่สุดที่ไม่สามารถเก็บชัยชนะได้ทั้งที่มีโอกาส และคิดว่าตัวเองสู้ได้ ชนะได้ แต่ร่างกายไม่อำนวยให้ชนะ มาจากประสบการณ์ล้วนๆเลยครับ ผมอาจจะเตรียมตัวไม่ดี และ ยังทนต่อแรงกดดันจากกองเชียร์นอกสนามไม่ได้ แต่ผมก็พร้อมจะกลับมาแก้ตัวในซีเกมส์ครั้งต่อๆไป”

หลังจบซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่ฟิลิปปินส์ กษิดิศ กลับมามุ่งมั่น ฝึกซ้อมให้หนักกว่าเดิม เสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย และ สร้างจุดแข็งให้ตัวเองเพิ่มมากขึ้น แม้ปีต่อมาจะอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด 19 แต่นักหวดคนนี้ก็ไม่หยุดที่จะพัฒนาศักยภาพให้ตัวเอง
ปี 2563 กษิดิศ กลับมาสร้างผลงานคว้าแชมป์ชายเดี่ยว เทนนิสเพื่อความชนะเลิศแห่งประเทศไทย ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในชีวิตและเป็นแชมป์รายการเดียวกันกับที่ วิทยา ผู้พ่อเคยคว้ามาได้ในปี 2539
ความสำเร็จของ กษิดิศ ยังมีมาอย่างต่อเนื่องในการคัดเลือกตัวนักเทนนิสทีมชาติชุดใหญ่ ที่จะเข้าร่วมในศึกเดวิสคัพ กับทีมชาติ เดนมาร์ก ในเดือนกันยายนนี้ กับ ซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่เวียดนาม ในช่วงปลายปี ด้วยการผงาดก้าวสู่ตำแหน่ง”แชมป์”ของการคัดตัว ด้วยผลงานที่ “ไม่แพ้” ให้คู่แข่งคนใดๆเลยตลอดการแข่งขัน

“ดีใจมากที่สามารถกลับมาติดทีมชาติอีกครั้งโดยเฉพาะซีเกมส์ เพราะผมตั้งใจมาตั้งแต่จบซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์ว่าผมจะกลับมาแก้ตัวในสนามแข่งขันรายการนี้ให้ได้ มันยังรู้สึกคาใจและอยากพิสูจน์ฝีมือ ในครั้งนั้นผมอาจจะยังมีประสบการณ์น้อย แต่ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร และ รู้ว่าจะจัดการกับความกดดันอย่างไรบ้าง”

“ซีเกมส์ที่เวียดนามปลายปีนี้ผมหวังที่จะทำผลงานให้ดีกว่ารอบ 8 คนสุดท้าย ผมตั้งเป้าที่จะเข้ารอบ 4 คนสุดท้าย คว้าเหรียญใดเหรียญหนึ่งให้ได้ก่อน ส่วนเหรียญทองแน่นอนว่าอยากได้มากเช่นกันแต่ก็คงไม่ง่าย และก็ไม่น่าจะยากเกินความพยายามครับ”
กษิดิศ บอกอีกว่า การเล่นในนามทีมชาติ ไม่ง่ายเหมือนการเล่นในสนามแข่งอาชีพ ความกดดันและบรรยากาศแตกต่างกันเยอะมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ ชัยชนะและความสำเร็จที่ได้มา สามารถสร้างความภาคภูมิใจให้ตัวเอง ครอบครัว และ วงการเทนนิสไทยได้เช่นกัน

“ในการเล่นอาชีพช่วงปีที่ผ่านมาและปีนี้อาจจะทำได้ไม่เต็มที่เพราะโควิด แต่ปีหน้าเป็นต้นไปผมได้วางแผนกับพ่อแล้วว่าเราจะต้องลุยแข่งให้มากกว่าเดิม ผมผ่านการฝึกซ้อมที่หนัก แก้ไขจุดอ่อนเพิ่มจุดแข็งให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาก การออกแข่งขันก็จะได้พิสูจน์ว่าการทำงานของเราที่ผ่านมานั้นมันได้ผลมากน้อยแค่ไหน”

“ผมกับพ่อมีความฝันเดียวกันครับ ผมฝันที่จะไปเล่นในโอลิมปิกเกมส์ ซึ่งพ่อก็อยากเห็นผมไปในจุดนั้น แต่ถ้าจะไปตรงนั้นผมก็ต้องทำอันดับโลกให้เข้าท็อป 100 ให้ได้ ผมวางเป้าหมายในระยะใกล้คือ โอลิมปิกเกมส์ ที่ฝรั่งเศส ผมมีเวลาในการทำอันดับโลกให้ตัวเอง 3 ปี แน่นอนผมยังไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างที่วางแผนไว้หรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือ ผมมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ และผมจะอดทนต่องานที่หนักการแข่งขันที่เต็มไปด้วยความกดดัน ผมจะไม่ท้อถอยกับอุปสรรค ผมจะก้าวไปตามเส้นทางที่วางไว้และทำฝันให้เป็นจริงให้ได้”

“พ่อจะคอยบอกเสมอว่า เมื่อเลือกแล้วที่จะเล่นเทนนิส ก็ต้องเต็มที่นะ และเทนนิสคือ อาชีพของเราแล้วนะ เราต้องทำให้ดีที่สุด ด้วยคำพูดเหล่านี้ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้ และฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างดี”
นี่จึงเป็นสิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ว่า พ่อ คือแรงบันดาลใจและพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ กษิดิศ ก้าวมาสู่ความสำเร็จในวันนี้

“ผมได้เห็นแววตาที่มุ่งมั่น ได้เห็นความทุ่มเท ความเหนื่อยของพ่อตลอดเวลาที่ผ่านมา คือ พลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ผมบอกกับตัวเองมาตลอดว่า จะท้อไม่ได้ ผมจะอดทนกับการฝึกซ้อมที่หนักและทำให้เต็มที่ในทุกๆการแข่งขัน”

“ผมจะไม่ทำให้ทุกหยาดเหงื่อของพ่อต้องสูญเปล่า”

นั่นคือคำสัญญาของลูกชาย “บูม” กษิดิศ สำเร็จ ที่วันนี้พร้อมแล้วกับการก้าวสู่โลกของการแข่งขันเทนนิสอาชีพอย่างเต็มที่ เพื่อภารกิจล่าแต้มเก็บคะแนนสะสมโลกพาตัวเองไปมือระดับท็อปของโลก สานฝันของพ่อและของตัวเองให้เป็นจริง

…………………………………..

ประวัติชื่อ: กษิดิศ สำเร็จ “บูม”
วันเดือนปีเกิด : 26 มกราคม 2544
ภูมิลำเนา: กรุงเทพ
พ่อชื่อ: วิทยา สำเร็จ
แม่ชื่อ: กนกวรรณ สำเร็จ
พี่น้อง : 1 คน พี่สาว จิตศุภางค์ สำเร็จ (ทราย)
การศึกษา : มหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสมุทรสาคร ชั้นปีที่ศึกษา ปี 2
โค้ชคนแรก-ปัจจุบัน : วิทยา
สำเร็จสไตล์การเล่น : เกมบุก aggressive ดุดัน
นักเทนนิสที่ชื่นชอบ : Nick Kyrgios เพราะมีสไตล์การเล่นที่ไม่เหมือนใครคาดเดาได้ยาก ดูการเล่นแล้วสนุก
ผลงานดีที่สุด : แชมป์ชายเดี่ยวประเทศไทย ปี 2563 ติดทีมชาติซีเกมส์เอเชี่ยนเกมส์, ซีเกมส์ ,เดวิสคัพ
เป้าหมายในการเล่นเทนนิส : top 10 ของโลก

LTAT